เมนู

[859] ผู้ใดไม่ให้ปันไม่เสียสละโภคะ พูดแต่
คำอ่อนหวานที่ไร้ผลในมิตรทั้งหลาย ความ
สัมพันธ์กับมิตรนั้น ของผู้นั้น จะจืดจางไป.
[860] เพราะว่า คนควรพูดแต่สิ่งที่จะต้องทำ
ไม่ควรพูดถึงสิ่งที่ไม่ต้องทำ บัณฑิตทั้งหลาย
รู้จักคนไม่ทำดีแต่พูด.
[861] ก็แหละกำลังพลของเราร่อยหรอแล้ว และ
สะเบียงก็ไม่มี เราสงสัยในความสิ้นชีวิตของ
ตน เชิญเถิด เราจะไปเดี๋ยวนี้แหละ.
[862] ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ
สิ่งใดมีอยู่ในชื่อ สิ่งนั้นนั่นแหละเป็นชื่อของ
หม่อมฉัน ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์
จงทรงรอก่อน หม่อมฉันจะขอบอกลาบิดา.

จบ อาสังกชาดกที่ 5

อรรถกาอาสังกชาดกที่ 5



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
การหลอกลวงของภรรยาเก่า จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า อาสาวตี
นาน ลตา
ดังนี้. เรื่องนี้จักมีแจ้งชัดในอินทริยชาดกข้างหน้า.

แต่ในที่นี้ พระศาสดา ตรัสกะภิกษุนั้นว่า ได้ทราบว่า คุณจะ
สึกจริงหรือ ?
ภิ. จริงพระพุทธเจ้าข้า.
พ. อะไรทำให้เธอสึก ?
ภิ. ภรรยาเก่า พระพุทธเจ้าข้า.
พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ หญิงนี้ทำความพินาศย่อยยับ
ให้เธอ ไม่เฉพาะในชาตินี้เท่านั้น แม้ในชาติก่อน เธอก็อาศัยหญิงนี้
ละทิ้งจตุรงคเสนา เสวยทุกข์ขนาดหนักอยู่ในท้องที่ป่าหิมพานต์ เป็น
เวลา 3 ปี แล้วได้ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร
พาราณสี พระโพธิสัตว์ถือกำเนิดในสกุลพราหมณ์ ที่บ้านกาสิกะ
เติบใหญ่แล้วได้รับการศึกษาที่เมืองตักกศิลา บวชเป็นฤาษี มีหัวมันและ
ผลไม้ในป่าเป็นอาหาร ให้อภิญญาและสมาบัติ เกิดขึ้นแล้วอยู่ในท้องถิ่น
ป่าหิมพานต์. เวลานั้นสัตวโลกตนหนึ่งถึงพร้อมด้วยบุญ จุติจากดาวดึงส-
พิภพ เกิดเป็นเด็กหญิงที่กลีบบัวกลีบหนึ่งในสระบัว ณ ที่นั้น เมื่อดอก
บัวเหลืองเหี่ยวร่วงโรยลงไป ดอกบัวดอกนั้น ยังกลีบพองท้องป่องอยู่
นั่นแหละไม่โรย. ท่านดาบสได้มายังสระบัวนั้น เพื่ออาบน้ำ เห็นดอก
บัวดอกนั้น คิดว่า เมื่อดอกบัวดอกอื่นๆ ร่วงโรยไปแล้ว แต่ดอกนี้ยัง

คงกลีบพองท้องป่องอยู่ จะมีเหตุอะไรหนอ ? แล้วผลัดผ้าอาบน้ำลงไป
เปิดดูดอกบัวดอกนั้น เห็นเด็กหญิงคนนั้นแล้ว เกิดความสำคัญขึ้นว่า
เป็นลูกสาว นำมายังบรรณศาลาเลี้ยงดูไว้. ต่อมานางอายุได้ 16 ขวบ
มีรูปร่างสวยงามเลอโฉมเกินผิวพรรณมนุษย์ แต่ไม่ถึงผิวพรรณเทวดา.
ครั้งนั้น ท้าวสักกะได้เสด็จมาสู่ที่อุปฐากพระโพธิสัตว์. ท้าวเธอทอด-
พระเนตรเห็นนาง จึงตรัสถามว่า หญิงนี้มาจากไหน ? ทรงสดับทำ-
นองที่ได้มาแล้วตรัสถามว่า ควรจะได้อะไรสำหรับหญิงนี้ ? ท่านดาบส
ทูลว่า ข้าแต่มหาบพิตรพระราชสมภารเจ้า ควรจะได้เนรมิตรปราสาท
แก้วผลึกเพื่อเป็นที่อยู่ และการจัดแจงที่นอนทิพย์ เครื่องประดับประดา
วัตถาภรณ์ และโภชนะอันเป็นทิพย์ให้. ท้าวสักกะทรงสดับคำนั้นแล้ว
ตรัสว่า ดีแล้วพระคุณเจ้า แล้วได้ทรงเนรมิตรปราสาทแก้วผลึกให้เป็น
ที่อยู่ของนาง เสร็จแล้วทรงเนรมิตรที่นอนทิพย์ เครื่องประดับประดา
วัตถาภรณ์ และข้าวน้ำอันเป็นทิพย์ให้. ปราสาทนั้น เวลานางขึ้น ก็
ลดต่ำลงมาสถิตอยู่ที่พื้นดิน แต่เวลานางลงแล้ว ก็เลื่อนขึ้นไปลอยอยู่
บนอากาศ. นางทำวัตรปฏิบัติพระโพธิสัตว์อยู่ในปราสาท. พรานป่า
คนหนึ่ง เห็นนางเข้าจึงเรียนถามว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ หญิงคนนี้เป็น
อะไรของพระคุณเจ้า. ได้ทราบว่าเป็นธิดา จึงไปยังเมืองพาราณสี ทูล
ในหลวงว่า ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ข้า
พระพุทธเจ้าได้เห็นธิดาของดาบสรูปหนึ่ง มีรูปร่างอย่างนี้ คือสวยงาม

ในท้องที่ป่าหิมพานต์. พระองค์ทรงสดับคำนั้นแล้ว ทรงสนพระทัย
เพราะเกี่ยวข้องกับการได้ทรงสดับข่าวนั่นเอง จึงให้พรานป่าเป็นผู้นำ
ทางเสด็จไปยังที่นั้น ด้วยจตุรงคเสนา ทรงตั้งค่ายไว้แล้ว ทรงพาพราน
ป่าไป มีหมู่อำมาตย์ห้อมล้อม เสด็จเข้าไปยังอาศรมบท ทรงไหว้พระ
มหาสัตว์แล้ว ประทับนั่ง ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง ตรัสว่า ข้าแต่พระคุณ-
เจ้าผู้เจริญ ขึ้นชื่อว่าหญิง เป็นมลทินของพรหมจรรย์ โยมจะเลี้ยงดู
ธิดาของพระคุณเจ้า.
ส่วนพระโพธิสัตว์ได้ตั้งชื่อให้กุมาริกานั้นว่า อาสังกากุมารี
เพราะว่าท่านแคลงใจว่า อะไรหนออยู่ในดอกบัวนั้น แล้วจึงลงน้ำไป
เอาขึ้นมา.
ท่านไม่ทูลพระราชานั้นตรง ๆ ว่า มหาบพิตรจงรับเอานางนี้ไป
แต่ทูลว่า ขอถวายพระพรมหาบพิตร พระองค์เมื่อทรงทราบชื่อของ
กุมาริกาคนนี้แล้วจงทรงรับเอาไปเถิด.
พระองค์ทรงสดับคำนั้นแล้ว จึงตรัสว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
เมื่อพระคุณเจ้าบอกโยมก็จักรู้.
พระโพธิสัตว์ ทูลว่า อาตมาภาพจะไม่ทูลบอกมหาบพิตร ขอให้
มหาบพิตรทรงทราบนามด้วยกำลังพระปัญญาของมหาบพิตรเอง แล้ว
ทรงรับเอาไปเถิด.

พระราชาทรงรับคำท่านแล้ว จำเดิมแต่นั้นมา จึงทรงใคร่ครวญ
ดูชื่อของนางพร้อมด้วยอำมาตย์ทั้งหลายว่า หญิงนี้ชื่ออะไรหนอ ?
พระองค์ทรงกำหนดชื่อไว้หลายชื่อที่รู้กันยาก แล้วตรัสบอกกับ
พระโพธิสัตว์ว่า จักเป็นชื่อโน้น จักเป็นชื่อโน้น. พระโพธิสัตว์ทรง
สดับคำนั้นแล้ว ก็ปฏิเสธว่า ไม่ใช่ชื่ออย่างนี้. ลำดับนั้น เมื่อ
พระราชาทรงใคร่ครวญดูชื่ออยู่นั่นแหละ กาลเวลาได้ล่วงไป 1 ปีแล้ว.
ครั้งนั้น สัตว์ร้ายทั้งหลายมีสิงห์โตเป็นต้น ตระครุบช้าง ม้า และ
มนุษย์ทั้งหลายกิน. อันตรายจากสัตว์เลื้อยคลานก็มี. อันตรายจาก
เหลือบก็มี. คนทั้งหลายลำบากเพราะตายกันไปมาก. จึงพระราชาทรง
กริ้วแล้วคิดว่า เราจักมีความต้องการทำไม ด้วยหญิงนี้. ตรัสบอกพระ-
โพธิสัตว์แล้วก็เสด็จไป. วันนั้นอาสังกากุมาริกา เปิดหน้าต่างแก้วผลึก
แล้วได้ยืนแสดงตัวให้เห็น. พระราชาทอดพระเนตรเห็นนางแล้วตรัสว่า
เราไม่อาจจะรู้จักชื่อของเธอได้ เธอจงอยู่ที่ป่าหิมพานต์ไปเถิดนะ พวก
ฉันจักไปละ. นางจึงทูลว่า ข้าแต่มหาราช พระองค์จะเสด็จไปที่ไหนจึงจะ
ได้ผู้หญิงเช่นหม่อมฉัน ขอพระองค์ทรงสดับคำของหม่อมฉัน เถาวัลย์
ชื่ออาสาวดี มีอยู่ที่จิตรลดาวัน ในเทวโลกชั้นดาวดึงส์ น้ำทิพย์เกิดขึ้น
ภายในผลของมัน เทพยดาทั้งหลายดื่มน้ำนั้นครั้งเดียว นอนเมาอยู่บน
ที่นอนทิพย์ถึง 4 เดือน แต่เถาอาสาวดีนั้น หนึ่งพันปี จึงจะออกผล

พวกเทพบุตรที่เป็นนักเลงสุรา คิดว่า พวกเราจักได้ผลจากเถาอาสาวดีนี้
จึงยับยั้งความกระหายในการดื่มน้ำทิพย์ไว้ พากันไปดูเถานั้นเนือง ๆ ว่า
ยังปลอดภัยอยู่หรือ ? ตลอดพันปี. ส่วนพระองค์ปีเดียวเท่านั้นเอง ก็ท้อ
พระราชหฤทัยเสียแล้ว ธรรมดาความหวังที่มีผล คือความสมหวัง
เป็นเหตุให้เกิดความสุข ขอพระองค์อย่าทรงท้อพระราชหฤทัยเลย ดังนี้
แล้วกล่าวคาถา 3 คาถาว่า :-
เถาวัลย์ชื่ออาสาวดี เกิดในสวนจิตรลดา-
วัน พันปีมันจึงจะออกผล ๆ หนึ่ง เมื่อมีผล
ระยะไกลถึงเพียงนั้น ทวยเทพยังพากันไป
เยือนมันอยู่บ่อย ๆ ข้าแต่พระราชา ขอพระองค์
จงทรงจำนงหวังไว้เถิด เพราะความหวังที่มีผล
เป็นเหตุให้เกิดความสุข. นกนั้นหวังอยู่นั่นเอง
ความหวังของมัน มีอยู่ไกลถึงเพียงนั้น ก็ยัง
สำเร็จได้. ข้าแต่พระราชา ขอพระองค์จงทรง
จำนงหวังไว้เถิด เพราะความหวังที่มีผล เป็น
เหตุให้เกิดความสุข.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อาสาวตี ได้แก่ เถาวัลย์ที่มีชื่อ
อย่างนี้ อธิบายว่า เถาวัลย์นั้นได้ชื่อนี้ เพราะเทวดาเกิดความหวังใน

ผลของมัน. บทว่า จิตฺตลตาวเน ความว่า ในสวนที่มีชื่ออย่างนี้. ได้
ทราบว่า ในสวนนั้น รัศมีของต้นไม้และเถาวัลย์ ทำสีของร่างกายเทวดา
ทั้งหลายผู้เข้าไปใน วันนั้นให้วิจิตรงดงาม ด้วยเหตุนั้น สวนนั้นจึงเกิด
มีชื่อว่า จิตรลดาวัน. บทว่า ปยิรุปาสนฺติ ความว่า ไปเยือนบ่อย ๆ.
บทว่า อาสึเสว ความว่า จงทรงจำนงหวังเถิด คือทรงปรารถนาทีเดียว
ได้แก่ จงอย่าทำกรรมคือการตัดความหวังทิ้ง.
พระราชาทรงสนพระทัยในถ้อยคำของนาง จึงทรงประชุมอำ-
มาตย์ทั้งหลาย ทรงแสวงหาชื่อของนางโดยทรงตั้งชื่อ 10 ชื่อ ได้ประ-
ทับอยู่อีกหนึ่งปี. ในชื่อทั้ง 10 นั้นไม่มีชื่อของนาง เมื่อพระราชดำรัส
ว่า ชื่อนี้ พระโพธิสัตว์ปฏิเสธเหมือนกัน. พระราชาจึงทรงม้าเสด็จ
ออกไปอีก ด้วยทรงดำริว่า เราจักมีความต้องการทำไมด้วยหญิงคนนี้.
ส่วนนางก็ยืนที่หน้าต่างแสดงตัวให้เห็นอีก. พระราชาทรงเห็นนางแล้ว
ได้ตรัสว่า พวกเราไม่สามารถรู้จักชื่อเธอ เธอจงอยู่ที่ป่าหิมพานต์ไปเถิด
พวกฉันจักกลับละ
อา. ข้าแต่มหาราช เหตุไหนพระองค์จึงจะเสด็จไปเสีย ?
รา. ฉันไม่สามารถจะรู้จักชื่อของเธอ.
นางทูลว่า ข้าแต่มหาราช เหตุไฉน ? พระองค์จักไม่ทรงรู้จัก
ชื่อ ธรรมดาความหวังที่จะไม่ให้สำเร็จตามประสงค์ไม่มี ขอพระองค์

จงทรงสดับคำของหม่อมฉันก่อน ได้ทราบว่านกยางตัวหนึ่งเกาะอยู่บน
ยอดเขา แต่ก็ได้รับสิ่งที่ตนปรารถนา เหตุไฉนพระองค์จักไม่ได้รับ
ข้าแต่พระมหาราช ขอพระองค์จงทรงยับยั้งอยู่เถิดพระเจ้าข้า. เล่าต่อ
กันมาว่า นกยางตัวหนึ่งบินไปคาบเอาเหยื่อที่สระบัวแห่งหนึ่ง แล้ว
กลับมาซ่อนอยู่บนยอดเขา มันอยู่ที่นั้นนั่นแหละ ตลอดวันนั้น รุ่งขึ้น
จึงคิดว่า เราได้เกาะอยู่อย่างสบายบนยอดเขาลูกนี้ ถ้าหากเราจะไม่
เคลื่อนย้ายไปจากที่ตรงนี้ เจ้าอยู่ที่ตรงนี้เท่านั้น คาบเอาเหยื่อดื่มน้ำแล้ว
อยู่ตลอดวันนี้ คงจะเจริญหนอ. จึงในวันนั้นนั่นเอง ท้าวสักกเทวราช
ทรงทำการย่ำยีพวกอสูร ได้ความเป็นใหญ่ในเทวโลก ในดาวดึงส์พิภพ
แล้วทรงดำริว่า ก่อนอื่นมโนรถ คือความต้องการของเราได้ถึงที่สุดแล้ว
มีอยู่หรือไม่ ใครอื่นที่มีมโนรถยังไม่ถึงที่สุด. ท้าวเธอทรงใคร่ครวญอยู่
ก็ทรงเห็นนกยางตัวนั้น จึงทรงดำริว่า เราจักให้มโนรถของมันถึงที่สุด.
แล้วได้ทรงบันดาลให้แม่น้ำสายหนึ่ง ที่อยู่ไม่ไกลจากที่ที่นกยางนั้นเกาะ
อยู่ เต็มไปด้วยห้วงน้ำแล้วส่งน้ำไปทางยอดเขา. นกยางเกาะอยู่ยอดเขา
นั้นนั่นแหละ จิกกินปลาดื่มน้ำแล้วอยู่ ณ ที่นั้นนั่นเอง ตลอดวันนั้น
ภายหลังแม่น้ำก็เหือดหายไป. ข้าแต่มหาราช นกยางยังได้รับผล เพราะ
ความหวังของตนอย่างนี้ก่อน เหตุไร ? พระองค์จักไม่ทรงได้รับดังนี้
แล้วได้กล่าวคาถาว่า อาสึสเถว ดังนี้เป็นต้น
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อาสึสเถว ความว่า จงหวังเถิด

คือจงปรารถนาเถิด. บทว่า ปกฺขี ความว่า นกชื่อว่า ปักขี เพราะ
ประกอบด้วยปีก. ชื่อว่า ทิช เพราะเกิด 2 ครั้ง. บทว่า ตาว
ทูรคตา สติ
ความว่า ขอพระองค์จงทรงดูเถิด ความที่ปลาและน้ำมี
อยู่ใกล้จากยอดเขา แต่ความหวังของนกยางนั้น มีไปในระยะไกล
อย่างนี้ ก็ยังเต็มได้เหมือนกัน ด้วยอานุภาพของท้าวสักกะ.
ครั้งนั้น พระราชาได้ทรงสดับคำของนางแล้ว ทรงติดพระทัย
ในรูป ทรงข้องพระทัยอยู่ในถ้อยคำของนาง ไม่อาจจะเสด็จไปได้ ทรง
ประชุมอำมาตย์ทั้งหลาย ตั้งชื่อ 100 ชื่อ. เมื่อพระองค์ทรงแสวงหาชื่อ
100 ชื่ออยู่ ก็ล่วงไปอีกปีหนึ่ง. ท้าวเธอเข้าไปหาพระโพธิสัตว์ โดย
เวลาล่วงเลยไป 3 ปี ตรัสถามว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ นางจักมี
ชื่อโน้น จักมีชื่อนี้. ตามอำนาจของชื่อ 100 ชื่อ. พระโพธิสัตว์ทูลว่า
ขอถวายพระพรมหาบพิตร พระองค์ไม่ทรงรู้จักชื่อของนาง. ท้าวเธอ
ตรัสว่า บัดนี้พวกกระผมจักลาไปละ. ทรงไหว้พระโพธิสัตว์แล้วเสด็จ
ออกไป. อาสังกากุมาริกา ก็ได้ยืนพิงประตูหน้าต่างแก้วผลึก อีกนั่น
แหละ. พระราชาทอดพระเนตรเห็นนางแล้ว ตรัสว่า เธอจงอยู่ไปเถิด
พวกเราจักไปละ. นางทูลว่า ข้าแต่พระมหาราช เหตุไร? พระองค์จึง
จักเสด็จไปเสียล่ะ. พระราชาตรัสว่า เธอให้เราอิ่มเอิบด้วยคำพูดอย่าง
เดียว แต่ไม่ให้อิ่มเอิบด้วยความยินดีในกาม. 3 ปีได้ผ่านไปแล้ว สำหรับ
เราผู้ติดใจถ้อยคำที่อ่อนหวานของเจ้า บัดนี้ฉันจักไปละ แล้วได้ตรัส

พระคาถาเหล่านี้ว่า :-
เธอให้ฉันเอิบอิ่มด้วยวาจา แต่หาให้เอิบ-
อิ่มด้วยสิ่งที่ควรทำไม่ เหมือนดอกหงอนไก่
มีสีสวยแต่ไม่มีกลิ่น ผู้ใดไม่ให้ปันไม่เสียสละ
โภคะ พูดแค่คำอ่อนหวานที่ไร้ผล ในมิตร
ทั้งหลาย ความสัมพันธ์กับมิตรนั้น ของผู้นั้น
จะจืดจางไป. เพราะว่าคนควรพูดแต่สิ่งที่จะ
ต้องทำ ไม่ควรพูดถึงสิ่งที่ไม่ต้องทำ บัณฑิต
ทั้งหลายรู้จักคนไม่ทำ ดีแต่พูด. ก็แหละกำลัง
พลของเราร่อยหลอแล้ว และสะเบียงก็ไม่มี
เราสงสัยในความสิ้นชีวิตของตน เชิญเถิด
เราจะไปเดี๋ยวนี้แหละ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมฺเปสิ ได้แก่ ให้อิ่มเอิบ คือให้
เอิบอิ่ม. คำว่า มาลา โสเรยฺยกสฺเสว นี้เป็นเพียงหัวข้อเทศนา ของ
หญ้าหางช้างในกระถาง แต่พระราชาตรัสหมายถึงดอกไม้ แม้อื่น ๆ ทุก
อย่างนั่นแหละ ที่มีสีสวย แต่ไม่มีกลิ่นเช่นดอกคำ ดอกว่านหางช้าง
และดอกชะบาเป็นต้น. ด้วยคำว่า วณฺณวนฺตา อคนฺธิกา พระราชา
ทรงแสดงว่าดอกของต้นโสเรยยกะเป็นต้น ให้คนอิ่มเอิบด้วยการดู

เพราะมีสีสวย แต่ไม่ให้อิ่มเอิบด้วยกลิ่น เพราะไม่มีกลิ่นฉันใด เธอก็
ฉันนั้น ให้เราอิ่มเอิบด้วยการทัศนา และถ้อยคำที่น่ารัก แต่ไม่ให้อิ่ม-
เอิบด้วยสิ่งที่ควรทำ. บทว่า อททํ ความว่า น้องนางเอ๋ย ผู้ใดพูด
ด้วยคำหวานว่า ผมจักให้โภคทรัพย์ชื่อนี้แก่คน. แต่ไม่ให้ไม่สละโภคะ
นั้น ชื่อว่า สร้างคำหวานอย่างเดียวเท่านั้น มิตรสัมพันธ์ของเขากับผู้
นั้นจะเสื่อมทรุด คือต่อไม่ติดด้วยมิตรสันถวะ. บทว่า ปาเกยฺยญฺจ
ความว่า น้องนางเอ๋ย เมื่อฉันติดใจคำหวานของเธออยู่ที่นี่เท่านั้น เป็น
เวลา 3 ปี ทั้งกำลังพล กล่าวคือช้างม้ารถ และพลเดินเท้า ทั้งสะเบียง
กล่าวคืออาหารและเบี้ยเลี้ยงคนเล่าก็ไม่มี. บทว่า สงฺเก มานุปโรธาย
ความว่า เรานั้นสงสัยถึงความพินาศแห่งชีวิตของตนในที่นี้นั่นเอง เชิญ
เถิด ฉันจักไปเดี๋ยวนี้ ดังนี้.
อาสังกากุมาริกา ได้ฟังพระราชดำรัสแล้ว เมื่อจะทูลปราศรัย
กับพระราชาว่า ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จงทรงทราบชื่อของหม่อม-
ฉันเถิด ชื่อของหม่อมฉัน พระองค์ตรัสอยู่แล้วนั่นแหละ ขอพระองค์
จงทรงบอกชื่อนี้แก่บิดาของหม่อมฉัน แล้วรับเอาหม่อมฉันไปเถิด ดังนี้
แล้ว ได้ทูลว่า :-
ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ
สิ่งใดมีอยู่ในชื่อ สิ่งนั้นแหละเป็นชื่อของ

หม่อมฉัน. ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จง
ทรงรอก่อน หม่อมฉันจะขอบอกลาบิดา.

คาถานั้น มีเนื้อความว่า พระราชาตรัสคำใดกะหม่อมฉัน คำว่า
อาสงกานั้นนั่นแหละ เป็นชื่อของหม่อมฉัน.
พระราชา ครั้นทรงสดับคำนั้นแล้ว จึงได้เสด็จไปยังสำนัก
ของท่านดาบสทรงไหว้แล้ว ตรัสว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ธิดาของ
พระคุณเจ้า ชื่อว่า อาสงกา. พระมหาสัตว์ ครั้นได้ฟังคำนั้นแล้ว
จึงทูลว่า ขอถวายพระพรมหาบพิตร เริ่มแต่เวลาที่มหาบพิตร ทรงรู้
จักชื่อแล้ว ขอมหาบพิตรจงทรงรับนางไปเถิด. พระองค์ทรงสดับคำ
นั้นแล้ว ทรงไหว้พระมหาสัตว์เสด็จมายังวิมานแก้วผลึก ตรัสว่า น้อง
นางเอ๋ย วันนี้บิดาได้ให้น้องแก่พี่แล้ว มาเถิด เราจักไปกันเดี๋ยวนี้.
นางได้ฟังดังนี้แล้ว จึงทูลว่า ข้าแต่มหาราชจงทรงรอก่อน หม่อมฉัน
ขอบอกบิดาก่อน แล้วลงจากปราสาทไหว้พระมหาสัตว์ ร่ำไห้ขอขมา-
โทษแล้วได้ไปยังราชสำนัก. พระราชาทรงพานางเสด็จไปนครพาราณสี
ประทับอยู่ครองกันด้วยความรัก ทรงจำเริญด้วยพระราชโอรสและพระ-
ราชธิดา. พระโพธิสัตว์ไม่เสื่อมจากฌาน คือมรณภพแล้วเกิดใน
พรหมโลก.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศ
สัจจะแล้วทรงประชุมชาดกไว้. ในเวลาจบสัจธรรม ภิกษุผู้กระสันจะสึก

ได้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล. นางอาสังกากุมาริกาในครั้งนั้น ได้แก่
ภรรยาเก่าในปัจจุบันนี้ พระราชา ได้แก่ภิกษุผู้กระสันจะสึก ส่วน
ดาบส ได้แก่เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาอาสังกชาดกที่ 5

6. มิคาโลปชาดก



ว่าด้วยโทษของคนหัวดื้อ



[863] ดูก่อนพ่อมิคาโลปะ. พ่อไม่มีความพอใจ
ที่เจ้าบินไปอย่างนั้น ลูกเอ๋ยเจ้าบินสูงมาก เจ้า
คบหาที่ไม่ใช่ถิ่นลูกเอ๋ย.
[864] แผ่นดินปรากฏแก่เจ้า เป็นเสมือนนา
แปลง 4 เหลี่ยมเมื่อใด เมื่อนั้นเจ้าจงกลับลง
มา อย่าบินเลยนี้ขึ้นไป.
[865] นกแม้เหล่าอื่นที่มีปีกเป็นยานพาหนะ
บินไปในอากาศมีอยู่ พวกมันถูกกำลังแรงของ
ลมพัดไป สำคัญตนว่า เป็นเสมือนสิ่งที่ยั่งยืน
ทั้งหลาย ได้พินาศไปแล้วมากต่อมาก.
[866] แร้งมิคาโลปะ ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของแร้ง
แต่ชื่ออปรัณผู้เป็นพ่อ บินเลยลมกาลวาตไป
ตกอยู่ในอำนาจของลมเวรัมภวาต.
[867] เมื่อแร้งมิคาโลปะ. ไม่ปฏิบัติตามโอวาท
ทั้งลูกทั้งเมียของมันและแร้งอัน ๆ ที่เป็นลูก